A system based on a fusion of executive and legislative powers
in the hands of a cabinet operating in conjunction with the principle of
ultimate parliamentary supremacy. Usually selected from among the leaders of
the majority party, the Cabinet has collective responsibility for(1)
establishing and implementing domestic and foreign policy;(2) coordinating the
operations of government agencies; (3) dealing with emergency situations; and
(4) maintaining long-range policy objectives. Cabinet-approved measures are
introduced and defended in the House of Commons by the appropriate ministers.
Passage is usually expected because the Cabinet leads the party which controls
the House. Since any division within the Cabinet is seized upon by the
Opposition, Cabinet unity and collective responsibility for all decisions
constitute traditional doctrines of the system, though actual behavior is now
more individual. Defeat in Commons on an issue of confidence would require the
resignation of the entire Cabinet. In the event, the Monarch might request the
Leader of the Opposition or other leading statesman to form a new government,
or, more likely, the Prime Minister would ask the Monarch to dissolve
Parliament. In the latter case, a general election would decide whether the
Prime Minister’s party was returned to power or a new political majority
appeared.
อังกฤษ:การปกครองระบบรัฐสภา
ระบบการปกครองที่อิงหลักการรวมอำนาจ บริหารและอำนาจนิติบัญญัติให้มาอยู่ในมือของคณะรัฐมนตรีที่ทำงานโดยสอด ประสานไปกับหลักความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา คณะรัฐมนตรีซึ่งตามปกติจะได้รับการคัดเลือกจากบรรดาผู้นำของพรรคการเมืองที่ครองเสียงข้างมากจะมีความรับผิดชอบร่วมกัน (1) ในการกำหนดและดำเนินนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ (2) ในการประสานงานของหน่วยงานต่างๆของภาครัฐบาล (3) ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ และ (4) ในการธำรงวัตถุประสงค์ของนโยบายระยะยาวเอาไว้ มาตรการต่าง ๆ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วนั้นจะถูกนำเสนอและปกป้องในสภาสามัญ โดยคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง มาตรการต่างๆปกติแล้วจะผ่านสภาสามัญไปได้ด้วยดีเพราะว่าคณะรัฐมนตรีเป็นผู้นำพรรคที่คุมสภาสามัญอยู่แล้ว แต่เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านมักจะจ้องฉวยโอกาสจากความแตกแยกภายในคณะรัฐบาลไป เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนเสมอ ดังนั้นหลักการของระบบนี้ก็จึงมีธรรมเนียมให้คณะรัฐมนตรีต้องมีเอกภาพและมีความรับผิดชอบร่วมกันต่อการตกลงใจทุกอย่าง แม้ว่าในทางปฏิบัติจริงนั้นจะยังคงให้รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบเป็นรายบุคคลก็ตาม หากคณะรัฐมนตรีแพ้มติความไม่ไว้วางใจในสภาสามัญก็จะต้องลาออกทั้งคณะ ซึ่งเมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้นมาพระมหากษัตริย์ก็อาจเรียกร้องให้ผู้นำฝ่ายค้านหรือรัฐบุรุษชั้นนำอื่น ๆ มาจัดตั้งรัฐบาลใหม่หรือไม่นายกรัฐมนตรีก็อาจจะกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์ให้ทรงยุบสภาไปเลยก็ได้ หากเป็นเช่นกรณีหลังนี้ก็อาจจะมีการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเป็นการตัดสินว่าจะให้พรรคการเมืองของนายกรัฐมนตรีคนเดิมกลับมามีอำนาจอีก หรือว่าจะเลือกพรรคการเมืองใหม่ที่ครองเสียงข้างมากให้มาจัดตั้งรัฐบาลใหม่
ระบบการปกครองที่อิงหลักการรวมอำนาจ บริหารและอำนาจนิติบัญญัติให้มาอยู่ในมือของคณะรัฐมนตรีที่ทำงานโดยสอด ประสานไปกับหลักความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา คณะรัฐมนตรีซึ่งตามปกติจะได้รับการคัดเลือกจากบรรดาผู้นำของพรรคการเมืองที่ครองเสียงข้างมากจะมีความรับผิดชอบร่วมกัน (1) ในการกำหนดและดำเนินนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ (2) ในการประสานงานของหน่วยงานต่างๆของภาครัฐบาล (3) ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ และ (4) ในการธำรงวัตถุประสงค์ของนโยบายระยะยาวเอาไว้ มาตรการต่าง ๆ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วนั้นจะถูกนำเสนอและปกป้องในสภาสามัญ โดยคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง มาตรการต่างๆปกติแล้วจะผ่านสภาสามัญไปได้ด้วยดีเพราะว่าคณะรัฐมนตรีเป็นผู้นำพรรคที่คุมสภาสามัญอยู่แล้ว แต่เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านมักจะจ้องฉวยโอกาสจากความแตกแยกภายในคณะรัฐบาลไป เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนเสมอ ดังนั้นหลักการของระบบนี้ก็จึงมีธรรมเนียมให้คณะรัฐมนตรีต้องมีเอกภาพและมีความรับผิดชอบร่วมกันต่อการตกลงใจทุกอย่าง แม้ว่าในทางปฏิบัติจริงนั้นจะยังคงให้รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบเป็นรายบุคคลก็ตาม หากคณะรัฐมนตรีแพ้มติความไม่ไว้วางใจในสภาสามัญก็จะต้องลาออกทั้งคณะ ซึ่งเมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้นมาพระมหากษัตริย์ก็อาจเรียกร้องให้ผู้นำฝ่ายค้านหรือรัฐบุรุษชั้นนำอื่น ๆ มาจัดตั้งรัฐบาลใหม่หรือไม่นายกรัฐมนตรีก็อาจจะกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์ให้ทรงยุบสภาไปเลยก็ได้ หากเป็นเช่นกรณีหลังนี้ก็อาจจะมีการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเป็นการตัดสินว่าจะให้พรรคการเมืองของนายกรัฐมนตรีคนเดิมกลับมามีอำนาจอีก หรือว่าจะเลือกพรรคการเมืองใหม่ที่ครองเสียงข้างมากให้มาจัดตั้งรัฐบาลใหม่
Significance The ultimate power of the House of Commons to
bring down the Government is to some extent offset by the power of the
Government to force a dissolution of the Commons. While the threat of a new
election exists as a theoretical possibility, a more satisfactory explanation
for government dominance of Parliament
is party discipline and loyalty. No government in this century has been brought
down by defections among its own party members in Commons. The changes that
have occurred have resulted when the party in power has been defeated in a
general election. General elections must be held every five years called sooner
by a Prime Minister seeking to renew his or her party’s mandate to govern. The
distinguishing feature of cabinet government in the British parliamentary
system is that responsibility for the initiation and administration of policy
lies with the Prime Minister and the Cabinet chosen against the kind of
deadlock between executive and legislature that can occur in the American
system where the two branches are controlled by different parties.
ความสำคัญ อำนาจเด็ดขาดของสภาสามัญที่จะล้มล้างรัฐบาลนั้นจะถูกคานด้วยอำนาจของรัฐบาล ในอันที่จะยุบสภา แม้ว่าในทางทฤษฎีก็เป็นไปได้ที่คณะรัฐมนตรีจะใช้วิธีการข่มขู่ว่าจะตอบโต้ด้วยวิธีการยุบสภาแต่ในความเป็นจริงแล้วจะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกในพรรคมีวินัยและมีความจงรักภักดีต่อพรรคจนสามารถครองเสียงข้างมากอยู่ต่อไปได้ แต่ก็ไม่มีรัฐบาลชุดใดในศตวรรษนี้ที่ถูกล้มล้างด้วยการแปรพักตร์ในหมู่สมาชิกของพรรคในสภาสามัญ การเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลที่เคยเกิดขึ้นมาได้นั้นเกิดขึ้นได้เมื่อพรรคที่ครองอำนาจพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไป การเลือกตั้งทั่วไปจะต้องจัดให้มีขึ้นในทุก 5 ปี เว้นเสียแต่นายกรัฐมนตรีจะให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเร็วกว่ากำหนดเพื่อต่ออายุความชอบธรรมในการปกครองพรรคตนเองต่อไปอีก ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบอบรัฐสภาของอังกฤษก็คือความรับผิดชอบที่จะเสนอแนะและดำเนินนโยบายจะอยู่กับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ได้รับการคัด เลือกจากรัฐสภาและก็จะต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภานี้ด้วย ระบบรัฐสภานี้จะช่วยไม่ให้เกิดทางตันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารอย่างที่เกิดขึ้นในระบบประธานาธิบดีของอเมริกัน เมื่อฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติถูกควบคุมโดยพรรคการเมืองต่างพรรคกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น